ดินแดนเมโสโปเตเมียมีภูมิอากาศร้อนแห้งแล้งและปริมาณน้ำฝนน้อย แต่มีความอุดมสมบูรณ์ในเขตที่เรียกว่า “ดินแดนรูปพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” รวมถึงประเทศซีเรีย เลบานอน ปาเลสไตน์ และอิสราเอลในปัจจุบัน ความอุดมสมบูรณ์ของเมโสโปเตเมียมาจากแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส รวมถึงน้ำจากหิมะละลายบนเทือกเขาในอาร์เมเนีย ซึ่งช่วยให้เกิดการทับถมของโคลนตมที่เป็นปุ๋ยในการเพาะปลูก เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนกลุ่มอื่น ผู้ที่อยู่ในดินแดนนี้จึงสร้างกำแพงเมืองและพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ เช่น รถม้าศึก นอกจากนี้ ที่ตั้งของเมโสโปเตเมียทำให้การติดต่อค้าขายกับดินแดนอื่นๆ เป็นไปอย่างสะดวก ทั้งทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและอ่าวเปอร์เซีย ส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการผสมผสานอารยธรรม.
ที่ตั้งอารยธรรมเมโสโปเตเมียอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปเอเชียในบริเวณที่เชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา โดยเฉพาะทางตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งหันออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นจุดเชื่อมโยงติดต่อกับอารยธรรมอียิปต์โบราณ พื้นที่ของแหล่งอารยธรรมทั้งหมดจะครอบคลุมบริเวณจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปสู่อ่าวเปอร์เซีย มีลักษณะเป็นรูปเสี้ยว จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” ครอบคลุมดินแดนบางส่วนในประเทศอิรักและซีเรียในปัจจุบัน
ที่มาของภาพ : Wimon soiphap. (2564). อารยธรรมเมโสโปเตเมีย. ภาพที่ 1 ที่ตั้งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
ที่มาของภาพ : ประวัติศาสตร์โลก World History. (2564). เมโสโปเตเมียและดินแดนพระจันทร์เสี้ยว. ภาพที่ 2 แม่น้ำยูเฟรทิส
ประมาณ 3,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช แคว้นสุเมอร์มีนครรัฐอย่างน้อย 12 แห่ง รวมถึงบาบิโลน คีช นิปปูรณ์ และอูร์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ปากแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ทำให้ที่ดินในบริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้มากขึ้น เมืองต่างๆ ในแคว้นสุเมอร์เจริญเติบโต มีถนนแคบคดเคี้ยวและมีกำแพงล้อมรอบ ประชาชนสร้างบ้านเรือนด้วยต้นกกและโคลนหรืออิฐ มีการออกแบบหลังคาเพื่อรักษาความเย็น โครงสร้างสังคมในดินแดนเมโสโปเตเมียสะท้อนให้เห็นในประมวลกฎหมายฮัมมูราบี ซึ่งแบ่งออกเป็นสามชนชั้น:
กฎหมายฮัมมูราบีได้รับการยกย่องว่าทันสมัย โดยรับรองสิทธิในทรัพย์สินและส่งเสริมความรับผิดชอบต่อกันในสังคม.
      แม้ว่าดินแดนเมโสโปเตเมียจะได้รับความอุดมสมบูรณ์จากแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส แต่ก็มีน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี ส่วนบริเวณที่ห่างฝั่งแม่น้ำมักแห้งแล้ง ชาวสุเรียนจึงคิดค้นระบบชนประทานเป็นครั้งแรก ประกอบด้วยทำนบป้องกันน้ำท่วม คลอง ส่งน้ำ และอ่างเก็บน้ำ วิธีนี้ช่วยให้การเพาะปลูกได้ผลดี อนึ่งในเขตที่อยู่อาศัยของพวกสุเมเรียนไม่มีวัสดุก่อสร้างที่แข็งแรงคงทน เช่น หินชนิดต่างๆ ชาวสุเมเรียนจึงคิดหาวิธีทำอิฐจากดินแดนและฟาง ซึ่งแม้จะมีน้ำหนักเบากว่าหินแต่ก็มีความทนทาน และใช้อิฐก่อสร้างสถานที่ต่างๆ รวมทั้งกำแพงเมือง นอกจากนี้ยังใช้ดินเหนียวเป็นวัสดุสำคัญในการประดิษฐ์อักษรรูปลิ่มด้วยต้องหาวิธีเอาชนะธรรมชาติในทุกด้าน ความพยายามทั้งสองประการนี้ก่อให้เกิดการแสวงหาความรู้ นอกจากนี้ยังมีการประดิษฐ์คันไถทำด้วยโลหะสำริดซึ่งเกิดจากการนำแร่ดีบุกผสมกับทองแดง ทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น มีการนำวัวคู่มาเทียมคันไถ สร้างพาหนะที่มีล้อใช้สัตว์ลาก การประดิษฐ์ล้อลากเพื่อทุ่นแรงซึ่งนับว่าเป็นพื้นฐานในการพัฒนาพาหนะประเภทเกวียน และรถยนต์ในโลกจนถึงปัจจุบัน
ที่มาของภาพ : Wimonsoiphap. (2556). อารยธรรมเมโสโปเตเมีย. ภาพที่ 4 อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
      เชื่อว่ามีเทพเจ้าสถิตในธรรมชาติซึ่งมีอยู่หลายองค์ ยกเว้นพวกฮิบรูซึ่งเป็นกลุ่มชนที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว มีพระนามว่า “พระยะโฮวาห์ ความเชื่อในศาสนาทำให้เกิดการสร้างศาสนสถาน เช่น ชาวสุเมเรียนนำดินเหนียว มาสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “ซิกกูแรต” เพื่อบูชาเทพเจ้าซึ่งมีหลายองค์ เช่น เทพเจ้าแห่งท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ส่วนเทพเจ้าสูงสุด ได้แก่ เทพที่ควบคุมฤดูกาล สิ่งของที่นำมาบูชาเทพเจ้า ได้แก่ โลหะ เงิน ทอง และสิ่งมีค่าอื่นๆ รวมทั้งการบูชายัญ ชาว สุเมเรียนเชื่อว่า เทพเจ้าของพวกเขามีอำนาจชั่วร้าย เทพเจ้าอาจจะดลบันดาลผลผลิตที่ดีหรือน้ำท่วมย่อยยับให้ก็ได้ อาจจะดลบันดาลความเจ็บป่วย หรือสุขภาพดี และความมั่งให้ก็ได้ และเชื่อว่าความสำเร็จในชีวิตขึ้นอยู่กับความพอใจของเทพเจ้าชาวสุเมเรียน ทุกคนจึงมีหน้าที่ในการบริการและสักการะเทพเจ้าทั้งหลาย
ที่มาของภาพ : ประวัติศาสตร์โลก World History. (2564). เมโสโปเตเมียและดินแดนพระจันทร์เสี้ยว. ภาพที่ 5 บ้านสร้างจากโคลนและต้นอ้อและภาพที่ 6 ซิกกูแรตแห่งเมืองอูร์